และขนาดใหญ่ ในอุสาหกรรมต่างๆนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง เช่นหุ้มถังกันความเย็น
ออก(งานเย็น) หุ้มถังป้องกันความร้อนออก(งานร้อน) ป้องกันหยดน้ำทั้งแบบถัง ท่อ ห้องเย็น ป้องกันการควบแน่น รักษาอุณหภูมิให้คงที่ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ฉนวนกันความร้อน
พียูโฟม จึงเป็นฉนวนที่มีความคงทนแข็งแรงต่อสภาพอุณหภูมิ และดินฟ้าอากาศ ฉนวนพียูโฟม ได้ถูกพัฒนาจากอุตสาหกรรมมาเป็นฉนวนกันความร้อนให้กับหลังคาโรงงาน อาคารสำนักงานบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย เรือประมง งานที่ต้องการลดความร้อนต่างๆ อย่างกว้างขวาง
เมื่อท่านเลือกใช้ "พี.ยู.โฟม ฉนวนมหัศจรรย์" เสมือนว่าท่านมีฉนวนครบวงจรไว้ถึง 4 ชนิด อยู่ในมือท่าน
2) โพลียูรีเทนโฟม เป็น ฉนวนป้องกันเสียง (Acoustical Resistance)
3) โพลียูรีเทนโฟม เป็น ฉนวนป้องกันความเย็น (Freezer Insulation)
4) โพลียูรีเทนโฟม เป็น ฉนวนป้องกันการรั่วซึม (Water Leeking) | |||||||
คุณสมบัติ ฉนวนกันความร้อน FOAMDEE PU FOAM โดยสังเขปดังนี้ | |||||||
1)รูปแบบทางกายภาพ(Physical Forms) | |||||||
ขึ้นรูปตามวัสดุหรือชิ้นงานที่พ่น เช่นพ่นติดกับวัสดุที่เป็นกระเบื้อง ก็จะขึ้นลอนตามรูป กระเบื้อง ถ้าอัดแบบตามรูปทรงที่กำหนดก็จะได้ตามความต้องการรูปแบบทางกายภาพ ของฉนวนกันความร้อนมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานได้ตามต้องการเช่นฉนวนเบบคลุมห่ม แบบแผ่น แบบพ่นแบบฉีด ฯลฯการเลือกใช้ฉนวนจะต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งาน และตำแหน่งที่ติดตั้ง นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายความแข็งแรง คงทนร่วมด้วยตัวอย่างการเลือกใช้งานฉนวนทีมีรูปแบบทางด้านกายภาพแตกต่างกันเช่น ใช้ฉนวนโฟมชนิดพ่นสำหรับด้านบนหลังคาหรือผนังภายนอกหรืพ่นภายในอาคาร | |||||||
2)ความแข็งแรงทางกล(Mechanical Strengh) ความหนาแน่น(Bulk Density) |
ไม่อุ้มน้ำเมื่อโดนฝน หรือหลังคารั่ว ไม่เสื่อมสลายในสารละลายทุกชนิด มีอายุการใช้งานที่ยาวนานเท่ากับอายุของหลังคา ความสามารถของฉนวนในการทนทานต่อแรงต่างๆหลายรูปแบบ ดังนี้
การรับน้ำหนัก และแรงอัด
ความต้านทานต่อแรงดึงและแรงเฉือน
ทนต่อการกระแทก และสั่นสะเทือน
ทนต่อการบิดงอ
ซึ่งความสามารถดังกล่าวของฉนวนจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ความหนาแน่น ขนาดของเซลล์
ขนาดและการจัดเรียงตัวของเส้นใยชนิดของฉนวน และปริมาณของตัวประสาน นอกจากนั้นยัง
ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมในการใช้งาน
3)อุณหภูมิการใช้งานที่เหมาะสม(Suitability For Service)
ผลของการเพิ่มหรือลดความหนาแน่นให้กับฉนวน ทำให้เชลล์ชิดกันหรือห่างกันนั้น เป็นผลทำให้สภาพการนำความร้อนปรากฏจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเช่นกัน ดังนั้นฉนวนกันความร้อน-เย็น มีค่าความหนาแน่น
ที่เหมาะสมที่ดีค่าหนึ่งเท่านั้น คือ 35 กก./ลบ.ม เท่านั้นจึงมีน้ำหนักเบา ไม่สร้างปัญหาให้กับโครงสร้างแต่
อย่างใดมีค่าสภาพการนำความร้อนต่ำที่สุดและมีค่าต้านทานความร้อนสูงที่สุดเช่นกัน เนื่องจากฉนวนแต่
ละชนิดจะมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิในการใช้ง่านที่แตกต่างกันหากเลือกใช้ไม่เหมาะมัก
จะเกิดปัญหาการเสื่อมสภาพของฉนวนได้การแบ่งระดับของอุณหภูมิในการใช้งานของฉนวนทำได้
4)การขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน(Thermal Expansion)
เมื่อฉนวนกันความร้อนได้รับความร้อนหรือเย็น จะมีการขยายตัวและหดตัว(Flexible) ตามวัสดุชิ้นงานจะไม่มีการฉีกขาดเสียหาย เกิดขึ้น เมื่อหลังคาหรือคอนกรีตหดตัวหรือขยายตัว การขยายตัวเมื่อได้รับความร้อนของฉวน อาจทำให้ประสิทธิภาพของฉนวนเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการเลือกใช้ฉนวนจึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งอาจพิจารณาได้จากอุณหภูมิของการใช้งานที่เหมาะสมข้างต้น โดยใช้ฉนวนที่มีอุณหภูมิใช้งาน ตรงตามความต้องการเพื่อให้การใช้งานฉนวนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
5) สามารถในการต้านทานความร้อน(Thermal Resistivity)
ฉนวนป้องกันความร้อน พียูโฟม มีโครงสร้างเป็นเซลล์ปิด (Close Cell) มีความสามารถสะกัดกั้น ความร้อนได้มากกว่า 90% สามารถป้องกันความร้อน(Block Heat Transfer) จากภายนอก การส่งผ่านความร้อน
(Heat Transfer) จากหลังคาเข้าสูต้ว อาคาร ด้วยการนำ(Conducting) การพา(Convecting) และการแผง รังสีความร้อน(Radaiting)ได้เป็นอย่างดี ฉนวนป้องกันความต้องมีความสามารถในการต้านทาน ความร้อนดูได้จากค่าการต้านทานความร้อน (Thermal Resistance) โดยฉนวนที่มีค่าความต้านทานความร้อนสูง
จะกันความร้อนได้ดี เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของการใช้ฉนวนสำหรับอาคารในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในเขต ภูมิอากาศแบบร้อนชื้นคือการกันความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้ามาภายในอาคารซึ่งนอกจากจะทำให้อาคาร เย็นสบายแล้วยังเป็นการประหยัดพลังงานให้กับระบบปรับอากาศของอาคารที่มีการปรับอากาศอีกด้วย ตัวอย่างฉนวนที่กันความร้อนได้ดีมากเช่น โพลียูรีเทนโฟม โฟใพลีสไตรีน แต่ในการเลือกใช้ฉนนเพื่อป้องกัน
ความร้อนสำหรับอาคารจะต้องพิจารณาคุณสมบัติอื่นๆ ในการใช้งานร่วมด้วย
6)ความต้านทานต่อความชื้น (Resistance To Water Panetetion)
สามารถแยกความร้อนความเย็น ที่พื้นผิว จึงไม่เกิดการก่อตัวของไอน้ำอันเนื่องมาจากความชื้นในอากาศไม่สามารถทะลุผ่านระหว่างฉนวนกันร้อนกับพื้นผิวได้ ความต้านทานความชื้น เป็นวัตถุประสงค์อีกข้อหนึ่งของการใช้ฉนวนสำหรับอาคารโดยเฉพาะอาคารที่มีการปรับอากาศ ดังนั้นจิง
จำเป็นต้องป้องกันความชื้นให้กับฉนวน แม้ว่า ที่ผ่านมาการใช้ฉนวนกันความชื้นให้กับอาคารอาจไม่ได้เป็น
วัตถุประสงค์หลักสำหรับวิศกรและสถาปนิก แต่จากผลการศึกษาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งมี
ความชื้นสูงเกือบตลอดเวลา พบว่าการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศจะสูญเสียคุณสมบัติความเป็นฉนวนไป
การใช้ฉนวนที่เหมาะสมสำหรับอาคารจึงสามารถ ช่วยป้องกันความชื้นให้กับอาคารได้ด้วย หากฉนวนที่ใช้ไม่มีการกันความชื้นควรป้องกันความชื้นให้กับฉนวนโดยการใช้วัสดุสำหรับกันความชื้น เช่น
แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ แผ่นโพลี่เอทิลีน แผ่นพีวีซี หรือแผ่นโพลีเอสเตอร์ ฉนวนมาสติก แอสฟัลต์ ฯลฯ ซึ่งวัสดุ
แต่ละชนิดมีคุณสมบัติกันความชื้นได้แตกต่างกัน
7)การกั้นไฟ และไม่ลามไฟ(Fire Retardant
ฉนวนกันความร้อน P.U.FOAM มีส่วนผสมของสารไม่ลามไฟ ไม่เป็นเชื้อไฟเมื่อโดนไฟเผา จะไหม้เฉพาะส่วนเท่านั้น เมื่อมีไฟฟ้าลัดวงจรอันตรายจากไฟไหม้ เป็นข้อพิจารณาที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง สำหรับการใช้ฉนวน
ภายในอาคาร เพราะฉนวนที่กันความร้อนได้ดี อาจมีคุณสมบัติการกันไฟไม่ดี สำหรับบางส่วนของอาคาร
เช่นห้องครัวหรือห้องที่มีอุปกรณ์เกี่ยวกับความร้อน การกันไฟไหม้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังต้อง
พิจารณาว่าการเผาไหม้ของฉนวนก่อให้เกิดสารพิษมากน้อยขนาดไหน ฉนวนที่กันไฟได้ดีได้แก่ โฟมพียู ผสมสารไม่ลามไฟ ใยแก้ว ใยหิน ใยแร่ แคลเซียมซิลิเกตและเวอร์มิคูไลท์ เป็นต้น
8)ความต้านทานต่อเชื้อราและแมลง(Resistanc To Vermin&Fungus)
P.U.FOAM เป็นฉนวนป้องกันความร้อนที่ให้ความปลอดภัยต่อสุขภาพ เป็นฉนวนกันความร้อนที่สัตว์และแมลงต่างๆ ไม่สามารถเข้าไปอาศัย หรือกัดกินได้ ความต้านทานต่อแมลงและเชื้อรา
และความปลอดภัยต่อสุขภาพ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญซึ่งมักจะถูกมองข้ามไปในการเลือกใช้ฉนวน สภาพอากาศของประเทศไทยซึ่งมีความชื้นสูงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ ฉนวนเสื่อมสภาพได้ง่าย
ฉนวนที่มีความชื้นสูง นอกจากจะมีประสิทธิภาพความเป็นฉนวนต่ำลงแล้วยังเป็นแหล่งเจริญเติบโตของ
เชื้อรา ซึ่งเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยภายในอาคารอีกด้วย ฉนวนบางชนิดโดยเฉพาะฉนวน
พวกสารอินทรีย์เช่น เส้นใยเซลลูโลส เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของแมลงบางชนิด ดังนั้นจึงอาจเกิดการเสื่อมสภาพได้ง่ายหากมีแมลงรบกวน การแก้ปัญหาดังกล่าวทำได้ โดยการเลือก
ใช้ฉนวนที่มีความต้านทานต่อแมลงและเชื้อรา เช่น ฉนวนพวกสารอินทรีย์ได้แก่ แคลเชี่ยมซิลิเกต โฟม
ใยแร่ ใยคาร์บอน เป็นต้น หรืออาจมีการติดตั้งวัสดุเพื่อป้องกันแมลง ป้องกันความชื้น เช่น แผ่นกันความชื้นซึ่งทำจากวัสดุประเภทพลาสติก เป็นต้น
9)การกั้นเสียง(Acoustical Resistance)
ฉนวนกันร้อน ชนิดนี้มีโครงสร้างเป็นเชลล์ปิด สามารถสะกัดกั้น(Block) เสียงได้มากกว่า 70 เดซิเบล สามารถป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเสียงดังที่เกิดจากภายใน เช่น ห้องเจนเนอเรเตอร์(Generator) ห้องสตูดิโอ(Studio)โรงภาพยนต์(Cinema) ผับ (Pub) ดีสโก้เทค(Disco Thaqe)ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี
การป้องกันเสียง สำหรับบางส่วนของอาคาร ที่ต้องการลดการรบกวนจากเสียงเช่น ห้องนอน ห้องประชุม
ห้องสัมนา ฯลฯ จำเป็นต้องเลือกใช้ฉนวนที่มีช่องว่างอากาศมากเมี่อใช้ร่วมกับวัสดุที่มีน้ำหนักมากจะมีส่วน
ช่วยในการกันเสียงได้ดีขึ้นเช่น พียูโฟม ใยแก้ว เซลลูโลส ใยหิน เป็นต้น
10)การปลอดจากกลิ่น(Freedom From Ordour)
Foamdee P.U.Foam ไม่ซึมน้ำไม่อมน้ำ ไม่อุ้มน้ำ จึงไม่ก่อให้เกิดความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์ การปลอดจากกลิ่นเป็นข้อพิจารณาข้อหนึ่งที่สำคัญต่อการใช้งานฉนวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการใช้งานฉนวนที่ติดตั้งภายในอาคาร ฉนวนที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ
หากเกิดการเสื่อมสภาพหรือเกิดการเผาไหม้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยภายในอาคารได้รับอันตรายการการ
สูดดมไอระเหย ของสารเคมี ในการเลือกใช้ ฉนวนจึงควรพิจารณาเลือกฉนวนที่มีส่วนประกอบที่
เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดอันตรายในขณะที่ใช้งาน เมื่อเกิดการเสื่อมสภาพและเกิดการเผาไหม้
11)ความต้านทานการกัดกร่อน ของสารเคมี(Corrosion&Chemecal Resistance)
P.U.Foam สามารถทนกรด ทนด่างได้ ไม่ละลายในเบนซิน ทินเนอร์ ดีเซล น้ำมันเครื่อง หรือสารละลายต่างๆ ความต้านทานต่อการกัดกร่อนและสารเคมีของฉนวนเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ต้องพิจารณาในการใช้งานการเสื่อมสภาพของฉนวนด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น สารเคมี และสภาพอากาศ ฯลฯ
จะทำให้ฉนวนมีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้นฉนวนที่ดีควรมีความต้านทานต่อการเสื่อมสภาพ ดังกล่าว
ได้โดยพิจารณาถึงสภาพลดต่ำลง ในการใช้งานฉนวนว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างแล้วเลือก
ใช้งานฉนวนที่มีความคงทนต่อสภาพนั้น
12)ไม่มีสารพิษเจือปน(Non Toxic/Irrrant)
ฉนวนกันความร้อน โพลียูรีเทนโฟม ไม่มีส่วนผสมของใยหิน(Asbestos) ใยแก้ว(Fible Glass) หรือสารระคายเคืองอื่นๆ จึงไม่เกิดอาการแพ้ ผด ผื่น คัน เมื่อสัมผัส ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีส่วนผสม
ของสาร CFC11 ไม่มีสารก่อมะเร็ง
13)ประหยัดพลังงาน(Energy Saver)
ฉนวนป้องกันความร้อน POLYURETHANE FOAM หลังติดตั้ง จะประหยัดไฟได้มากกว่า 40% ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการรั่วซึมของหลังคา หรืออาคารร้าว เนื่องจากได้รับความร้อนและอายุการใช้งานที่ยาวนาน
14) ป้องกันการรั่วซึม(Water Leaking)
พียู โฟม สามารถอุดรอยรั่วของหลังคาที่แตก หรือผนังคอนกรีตที่แตกร้าวได้ เพราะโครงสร้างเป็นเชลล์ปิด น้ำจะซึมผ่านไม่ได้ และไม่ก่อให้เกิดเชื้อโรค เชื้อราได้
15)ติดตั้งง่าย(Easy install)
ฉนวนกันความร้อน โพลียูรีเทน เมื่อพ่นจะเซ็ทตัวภายใน 3 วินาที สามารถพ่นติดกับฉนวนทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ติดตั้งได้ทั้งใต้หลังคาและบนหลังคา และผนังทุกชนิดเพื่อกันเสียงรบกวน การรั่ว ซึมของน้ำฝน และป้องกันความร้อน ที่ส่งผ่านมาจากหลังคา ผนังได้อย่างครบวงจร
16)การลงทุนที่คุ้มค่ากว่า(Worth For Investment)
ถ้านำเอาคุณสมบัติในด้านการนำความร้อน(Termal Conductivity) มาเปรียบเทียบในเชิงวิศวกรรมที่เท่ากัน จะพบว่าต้นทุนต่อหน่วย จะถูกกว่าฉนวนตัวอื่นๆ ทั้ง ด้านคุณสมบัติ และอายุการใช้งา เป็นฉนวนป้องกันความร้อนที่คุณสมบัติที่ครบถ้วนชนิดเดียวในประเทศ ที่สามารถ ป้องกันความร้อน ป้องกันความเย็น ป้องกันการรั่วซึมของน้ำฝน ป้องกันเสียงดังจากฝนตก ในห้องสตูดิโอ ในโรงภาพยนต์
ในดิสโก้เทค ฯลฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น